หลักการเติม S
ในภาษาไทย เครื่องหมาย s ถูกใช้เพื่อเพิ่มกันแยกของคำ โดยหักยอดบุรุษ. เครื่องหมาย s นี้มีหลักการการใช้งานที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของคำที่ต้องการบังคับให้เติม s และพฤติกรรมการใช้งานของคำศัพท์เอง ดังนั้น ในบทความนี้จะอธิบายหลักการเติม s ในภาษาไทยและการใช้งานต่าง ๆ รวมถึงตัวอย่างประโยคและคำถามที่มักพบเกี่ยวกับเรื่องนี้
1. ใช้เครื่องหมาย s เพื่อเพิ่มกันแยกของคำ
เครื่องหมาย s ใช้เพื่อบังคับให้เติม s เข้าไปหลังคำที่ต้องการแบ่งกันหรือแยกกันระหว่างเนื่องจากคำว่านาม เช่น หลักศัพท์ สรรพนาม เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
– หนังสือ (book) + s = หนังสือ 2 เล่ม (books)
2. การเติม s หลังสรรพนามบุรุษตัวเองและชื่อเฉพาะ
เมื่อใช้สรรพนามบุรุษตัวเองและชื่อเฉพาะ เช่น เรา (we) เธอ (you) ชื่อของคน ที่ 10 รวมถึงนามสมมุติที่สรุปออกมาจากความหมายของคำ เช่น ความรู้ (knowledge) เสมือนกับคำเตือน (warning) ตัวอย่างเช่น
– เรา (we) + s = เรา 2 คน (we)
– ความรู้ (knowledge) + s = ความรู้ทั้งปลายทั้งใจ (knowledge)
3. การเติม s หลังกริยาในกรณีที่กริยาเป็นรูปช่องที่ 3 บุรุษสิรันดร
เมื่อใช้กริยาในรูปช่องที่ 3 บุรุษสิรันดร ซึ่งจะมี s หลังแล้ว เราไม่ต้องเติม s ใหม่ หากต้องการติดบทเสร็จ (บทที่ 6 เสร็จ) ตัวอย่างเช่น
– เขาร้อง (he sings) + s = เขาร้องเสร็จ (he sings)
– พ่อของฉันอ่านหนังสือ (My father reads books) + s = พ่อของฉันอ่านหนังสือเสร็จ (My father reads books)
4. การเติม s หลังกริยาที่ใช้กับกิริยาสมการนาม
เมื่อใช้กิริยาที่เป็นสมการนาม เช่น ทำ (do), เตรียม (prepare) หรือ เงินเดือน (pay) กับนามสมมุติเช่น งาน (work) ไอศกรีม (ice cream) หรือ ลูกบอล (ball) เราจะไม่ต้องเติม s หลังคำกริยา เนื่องจากเราเพียงแค่ใส่นามหลังกลายเป็นกิริยาที่เป็นสมการนาม ตัวอย่างเช่น
– เขาทำงาน (he works) + work = เขาทำงานเงินเดือน (he works)
– เราชอบไอศกรีม (we like ice cream) + ice cream = เราชอบไอศกรีมลูกบอล (we like ice cream)
5. การเติม s หลังกริยาที่ใช้กับบุคคลทั่วไปในรูปการคำนึงถึง
เมื่อใช้กริยากับบุคคลทั่วไปที่อยู่ในรูปการคำนึงถึง เราจะต้องเติม s หลังกริยา ดังตัวอย่าง
– เขาชอบหนังสือ (he likes books) + s = เขาชอบหนังสือ (he likes books)
– พ่อของฉันดื่มกาแฟ (my father drinks coffee) + s = พ่อของฉันดื่มกาแฟ (my father drinks coffee)
6. การเติม s หลังกริยาที่ใช้กับผู้เล่าเรื่องในรูปการคำนึงถึง
เมื่อใช้กริยากับผู้เล่าเรื่องที่อยู่ในรูปการคำนึงถึง เราจะต้องเติม s หลังกริยา ตัวอย่างเช่น
– ผมกินอาหาร (I eat food) + s = ผมกินอาหาร (I eat food)
– เธอดื่มน้ำ (you drink water) + s = เธอดื่มน้ำ (you drink water)
7. การเติม s หลังคำใช้เป็นสรรพนามชี้บุคคล
แต่ละคำใช้เป็นสรรพนามชี้บุคคล เช่น เขา (he), เธอ (she), พวกเขา (they) จะต้องเติม s หลังหน่วยนับของคำเพื่อบอกว่ามีจำนวนมากกว่า 1 ชิ้น เช่น
– เขาชอบกินปลา (he likes fish) + s = เขาชอบกินปลา (he likes fish)
– เธอชอบเล่นกีฬา (she likes sports) + s = เธอชอบเล่นกีฬา (she likes sports)
8. การเติม s หลังคำประกอบศัพท์ที่เป็นคำบุหรี่
เมื่อใช้คำประกอบที่เป็นคำบุหรี่ เช่น หลักฐาน (evidence), การแปล (translation), หลักสูตร (curriculum) เราจะต้องเติม s เพื่อแสดงว่ามีจำนวนมากที่เป็นอยู่ เช่น
– มีหลักฐานที่ชัดเจน (there is clear evidence) + s = มีหลักฐานที่ชัดเจน (there is clear evidence)
– การแปลภาษา (translation) + s = การแปลภาษา (translation)
9. ทฤษฎีการเติม s ในรูปคำบอกลักษณะสถานะ
ในกรณีที่ได้เรียนรู้คำที่เป็นคำบอกรูปของสถานะ หรือคุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ จะเห็นว่าเราต้องเติม s หลังคำนี้ ขึ้นอยู่กับหนึ่งประเภทของคำ คือ คำที่ลงท้ายด้วย s es ดังตัวอย่าง
– เติม s es หลังคำนาม – เมื่อคำนามลงท้ายด้วย s, x, z, ch, sh – ตัวอย่างเช่น อาจารย์ (teacher) + s = อาจารย์ (teachers) นักเรียน (student) + s = นักเรียน (students)
– เติม s es หลังประธานเอกพจน์ – สำหรับคำที่เป็นเอกพจน์และลงท้ายด้วย s(es), o(es) และ sh(es) – ตัวอย่างเช่น ต้นไม้ (tree) + s = ต้นไม้ (trees) สุนัข (dog) + s = สุนัข (dogs)
– เติม s es หลังกริยา (ในรูปช่วงที่ 3 บุรุษสิรันดร) – คำกริยาที่อยู่ในรูปช่วงที่ 3 บุรุษสิรันดร ซึ่งเป็นคำกริยาที่มีการเติม s หลังแล้ว – ตัวอย่างเช่น ร้องเพลง (sing) + s = ร้องเพลง (sings) เที่ยว (travel) + s = เที่ยว (travels)
– เติม s es หลังกริยาในประโยค – ในกรณีที่มีกริยาอยู่ในประโยค หากกริยาตั้งอยู่ในประโยคที่ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว จะต้องเติม s หลังกริยา – ตัวอย่างเช่น พวกเขาอ่านหนังสือ (They read books) + s = พวกเขาอ่านหนังสือ (They read books)
– เติม s es หลังกริยาในประโยคที่ present simple tense – ในกรณีที่ใช้กับประโยคใน present simple tense ช่วงที่กริยาตั้งอยู่กับบุคคลที่สามนิยม จะต้องเติม s es หลังกริยา – ตัวอย่างเช่น เรากินผลไม้ (We eat fruit) + s = เรากินผลไม้ (We eat fruit)
– หลักการเติม ing – ในกรณีที่ใช้กริยาในรูปการ ters, ประโยค passive, ศัพท์ -ing และกริยาเป็น -ing จะต้องเติม s es หลังกริยา – ต
ติวสอบ Toeic ก่อนสอบต้องรู้ วิธีเติม S ตัดช้อยส์ได้เพียบ!
คำสำคัญที่ผู้ใช้ค้นหา: หลักการเติม s หลักการเติม s es คํานาม, การเติม s es ประธาน, เอกพจน์ เติม s, ประธานเอกพจน์ กริยาเติมs, การเติม s es ในประโยค, การเติม s es ในประโยค present simple tense, หลักการเติม ing, Fly เติม s หรือ es
รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ หลักการเติม s
หมวดหมู่: Top 58 หลักการเติม S
หลักการเติม S มีอะไรบ้าง
หลักการเติม s เป็นหลักการทางไวยากรณ์ในภาษาไทยที่มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากการใช้ s อย่างถูกต้องจะช่วยให้ประโยคในภาษาไทยดูเป็นระเบียบและถูกต้องมากขึ้น ข้อดีหลักๆของการเติม s คือช่วยป้องกันความกังวลหรือสับสนในการอ่านและเขียนต่างๆในภาษาไทย ในบทความนี้เราจะพิจารณาหลักการเติม s ในภาษาไทยอย่างละเอียดกว่าที่เคยเคียงถึงมาก่อน โดยรวมถึงรูปแบบที่ใช้เติม s ในคำกริยา นาเสนอแนวคิดต่างๆในแต่ละกรณี และระบุคำถามที่พบบ่อยที่ผู้ที่เริ่มต้นเรียนรู้การใช้ภาษาไทยอาจพบเจอบ่อย ในส่วนท้ายของบทความเราจะมีส่วนคำถามที่พบบ่อย (FAQs) เพื่อความคิดสรุปที่ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจหลักการเติม s ในภาษาไทยอย่างเป็นระเบียบแนะนำให้
หลักการเติม s ในคำกริยา:
เติม s ในคำกริยาในภาษาไทยนั้นมีหลักฐานทางไวยากรณ์ที่ต้องทำความเข้าใจเพื่ออ่านและเขียนภาษาไทยระดับมืออาชีพได้อย่างถูกต้อง โดยคำกริยาจะเติม s ต่อท้ายคำกริยาในบุคคลของกรรมบางกรณี ซึ่งตามหลักภาษาไทยเรียกส่วนที่เติม s นี้ว่า คำกริยาแบบหรรษา (การเติม s ในคำกริยาที่มีบุคคลบางกรณีก็จะมีรูปแบบแปลกๆ ที่ต้องคำนึงถึง) นอกจากนี้ ยังมีหลักการเติม s ในคำกริยากลุ่มอื่นๆในภาษาไทยที่ต้องสังเกตอีกด้วย
1. การเติม s ในคำกริยาแบบหรรษา (Regular Verbs)
ในกรณีของคำกริยาแบบหรรษาที่เติม s ในบุคคลของกรรม คำกริยาจะเติม s หรือ es ต่อท้ายคำกริยา ตามความผันผวนและเงื่อนไขต่างๆที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น:
– I walk to school every day. (ฉันเดินไปโรงเรียนทุกวัน)
– He walks to work. (เขาเดินไปทำงาน)
2. การเติม s ในคำกริยาแบบไม่หรรษา (Irregular Verbs)
กรณีของคำกริยาที่มีรูปแบบแปลกๆ จะไม่สามารถเติม s หรือ es ได้ตามปกติ ต้องเรียนรู้รูปแบบต่างๆของคำกริยาดังกล่าว เช่น:
– I go to the supermarket. (ฉันไปซื้อของในห้างสรรพสินค้า)
– He goes to the park. (เขาไปเที่ยวสวนสาธารณะ)
3. การเติม s ในคำกริยากรวย (Auxiliary Verbs)
ในกรณีของคำกริยากรวย เช่น be, have, do และ modal verbs นั้น จะไม่มีการเติม s ในบุคคลของกรรม เป็นที่ประทับใจว่าจะเติม s ในกริยาเหล่านี้ได้ตามปกติ ตัวอย่างเช่น:
– She is a doctor. (เธอเป็นหมอ)
– They have a car. (พวกเขามีรถ)
– I do my homework in the evening. (ฉันทำการบ้านในช่วงเย็น)
คำถามที่พบบ่อย:
1. เติม s ในคำกริยาแบบหรรษาในอดีตกี่รูปและในกรณีใดบ้าง
คำกริยาแบบหรรษาในอดีตมีรูปแบบเพียงหนึ่งรูป และมีเงื่อนไขที่เติม s เท่านั้นที่จะต้องสังเกต ซึ่งคือกรณีเมื่อกรรมเป็นบุคคลสามเท่านั้น ตัวอย่างเช่น:
– He helps his mother with housework. (เขาช่วยแม่ทำงานบ้าน)
– She loves to sing. (เธอชอบร้องเพลง)
2. ทำไมบางคำที่เป็นประเภทคำกริยาแบบแปลกๆ ไม่สามารถเติม s ได้
คำที่ไม่สามารถเติม s ได้นั้นเกิดจากลักษณะเสียงของคำกริยาที่ถูกพิจารณา หรือช่วงเวลาที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องมีการศึกษาความผันผวนและรูปแบบของคำกริยานั้นๆ ตัวอย่างเช่น:
– I eat rice every day. (ฉันกินข้าวทุกวัน)
– He buys a new car. (เขาซื้อรถใหม่)
3. ในกรณีไหนที่ไม่ต้องเติม s ในคำกริยา
การใช้งานคำกริยาที่ไม่ต้องเติม s นั้นมีหลายกรณี อาทิเช่นเมื่อคำกริยามีเวลาอดีตหรือบุคคลในกรรมที่ไม่ใช่บุคคลสาม เพียงเพียงแค่นี้เท่านั้น ตัวอย่างเช่น:
– I walked to school. (ฉันเดินไปโรงเรียน)
– He walked to work. (เขาเดินไปทำงาน)
4. ในกรณีของคำกริยากรวย เราต้องเติม s หรือ es ต่อท้ายการกริยาหรือไม่
ในกรณีของคำกริยากรวย เราไม่ต้องเติม s หรือ es ต่อท้ายคำกริยาเลย เพราะเป็นเงื่อนไขทางไวยากรณ์ที่สามารถเติมได้เฉพาะกรณีของบุคคลกับกรรมเท่านั้น ตัวอย่างเช่น:
– She is cooking dinner. (เธอกำลังทำอาหารเย็นอยู่)
– They have finished their homework. (พวกเขาได้เสร็จการบ้านแล้ว)
ในสรุปหลักการเติม s ในภาษาไทยเป็นหลักการทางไวยากรณ์ที่มีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้ประโยคในภาษาไทยดูเป็นระเบียบและถูกต้อง สำหรับผู้ที่เริ่มต้นเรียนรู้การใช้ภาษาไทยอาจมีคำถามที่ขัดแย้งหรือสงสัยเกี่ยวกับการเติม s ในคำกริยา คำถามที่พบบ่อยทั้งหมดที่ได้ถูกพูดถึงในบทความนี้เป็นสรุปเฉพาะ เพื่อที่จะช่วยให้ผู้อ่านที่สามารถเข้าใจหลักการเติม s ในภาษาไทยได้อย่างถูกต้องและเป็นระเบียบ กรุณาอ่านและศึกษาบทความนี้ทุกครั้งที่มีความจำเป็น
การเติม S Es ใช้ตอนไหน
ในภาษาอังกฤษ การเติม s หรือ es ในคำกริยา (verb) มีประโยชน์ในการแสดงคำกริยาในรูปที่เป็นพหูพจน์ (plural form) โดยทั่วไปแล้วกฎทั่วไปของการเติม s ในคำกริยานั้นมีดังนี้
1. เติม s ในคำกริยาที่ใช้กับบุคคลที่ 3 ในประโยคสัญลักษณ์ (simple present tense)
เราใช้กฎนี้เมื่อเราอยู่ในเงื่อนไขดังต่อไปนี้
– กริยาใช้กับบุคคลที่ 3 (he, she, it) เช่น He sleeps a lot. (เขานอนหลับมาก)
– กริยาใช้กับสิ่งของ (things) เช่น The flower smells good. (ดอกไม้มีกลิ่นหอม)
2. เติม es ในคำกริยาที่ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, เครื่องหมายเจ้ง (o) และเครื่องหมายเฉลี่ย (z) ในประโยคสัญลักษณ์ (simple present tense)
เราใช้กฎนี้เมื่อเราอยู่ในเงื่อนไขดังต่อไปนี้
– กริยาใช้กับบุคคลที่ 3 (he, she, it) เช่น She passes the test. (เธอสอบผ่าน)
– กริยาใช้กับสิ่งของ (things) เช่น The dog barks loudly. (สุนัขเห่าดัง)
นอกจากกฎทั่วไปนี้แล้ว เรายังมีบางกฎเพิ่มเติมในกรณีและต่อไปนี้
1. เติม es ในกริยาที่ลงท้ายด้วย o แล้วมีคำนำหน้า (consonant + o) ในประโยคสัญลักษณ์ (simple present tense)
นอกจากเราต้องเติม es แล้วยังต้องมีการเปลี่ยน o เป็น e เช่น
– go กลายเป็น goes เช่น She goes to school every day. (เธอไปโรงเรียนทุกวัน)
– do กลายเป็น does เช่น He does his homework. (เขาทำการบ้าน)
– have กลายเป็น has เช่น She has a car. (เธอมีรถ)
2. เติม s ในกริยาที่ลงท้ายด้วย y และมีตัวนำหน้าเป็นตัวสะกดสั้น (short vowel sound) ในประโยคสัญลักษณ์ (simple present tense)
เราใช้กฎนี้เมื่อเราอยู่ในเงื่อนไขดังต่อไปนี้
– กริยาใช้กับบุคคลที่ 3 (he, she, it) เช่น He tries his best. (เขาพยายามที่สุด)
– กริยาใช้กับสิ่งของ (things) เช่น The pen writes smoothly. (ปากกาเขียนได้อย่างราบรื่น)
ตัวอย่างเพิ่มเติม:
– play ไม่มี es เพราะ a มีเสียงสระรัสเสียงยาว /eɪ/ เช่น He plays basketball every evening. (เขาเล่นบาสเกตบอลทุกเย็น)
– say ไม่มี es เพราะ a มีเสียงสระรัสเสียงยาว /eɪ/ เช่น She says hello to everyone. (เธอทักทายทุกคน)
หวังว่าคุณจะทำความเข้าใจภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นกับกฎการเติม s และes ในคำกริยาจากบทความนี้นะครับ
หากคุณมีคำถามเพิ่มเติม คำถามที่พบบ่อยหรือสงสัยอะไรโปรดดูในส่วน FAQ ข้างล่าง
FAQs
1. คำว่า “is” เป็นคำกริยาใช่หรือไม่?
ใช่ คำว่า “is” เป็นคำกริยาเติมที่ใช้กับบุคคลที่ 3 ในประโยคสัญลักษณ์ เช่น He is a doctor. (เขาเป็นแพทย์)
2. คำว่า “does” เป็นคำกริยาใช่หรือไม่?
ใช่ คำว่า “does” เป็นคำกริยาเติมที่ใช้กับบุคคลที่ 3 ในประโยคสัญลักษณ์ เช่น What does he do? (เขาทำอะไร)
3. มีกฎพิเศษในการเติม s หรือ es ที่ต้องรู้มากกว่านี้ไหม?
ยังมีกฎเพิ่มเติมอื่นๆ ในกรณีของคำกริยาที่มีรูปแบบพิเศษ เช่น have → has, do → does, go → goes ซึ่งสามารถศึกษาและฝึกใช้ได้จากแหล่งเรียนรู้ภาษาอังกฤษต่างๆ ออนไลน์
4. ถ้ายังใช้ต้องการใช้ตรวจสอบคัมบริขุในการใช้คำกริยา ควรทำอย่างไร?
การฝึกใช้คำกริยาให้เหมาะสมคือวิธีที่ดีที่สุดในการศึกษาภาษาอังกฤษ สามารถฝึกตรวจสอบประโยคที่น่าสนใจ ทำความเข้าใจกฎและรูปแบบต่างๆ ในสื่อต่างๆ เช่น หนังสือ เว็บไซต์ โพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์ หรือแอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนามาเพื่อใช้ในการจัดการศึกษาภาษา
วิธีนี้อาจช่วยให้คุณฝึกได้ดีขึ้นในการใช้คำกริยาภาษาอังกฤษ อย่าลืมฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเพื่อความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาอังกฤษนะครับ
ดูเพิ่มเติมที่นี่: phauthuatdoncam.net
หลักการเติม S Es คํานาม
หลักการเติม s, es ในคำนามเป็นที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษอย่างแพร่หลาย กฎเกณฑ์หลักในการตัดสินใจดังกล่าวคือ ในกรณีที่คำนามจำนวนใดจำนวนหนึ่ง เราใช้รูปทั่วไปของคำนาม โดยเพียงแค่เติม s เข้าไปตรงหลังคำนามเท่านั้น เช่น คำว่า “cat” เป็นคำนามในรูปทั่วไปของคำศัพท์ หากเราต้องการอธิบายว่าเรามีแมวหลายตัว เราเพียงแค่เติม s เข้าไปตรงหลังคำนามและเปลี่ยนคำนามไปเป็น “cats”
ในกรณีที่คำนามมีกฏการเติมรูปที่มุ่งหมายได้อย่างอื่น เราจะต้องปฏิบัติตามกฏเหล่านั้นให้ถูกต้องตามข้อกำหนด เช่น สำหรับบางคำนามที่ส่งเสริมให้เราเติม es เข้าไปตรงหลังคำนาม เราควรทราบว่า รูปทั้งหมดเมื่อใช้กับคำนามจำนวนใกรมเอียง หรือ uncountable nouns เช่น “bus” หรือ “money” จำเป็นต้องใช้รูปร่างดังกล่าวเท่านั้น ดังนั้น หากเราต้องการอธิบายว่าเรามีรถบัสหลายคัน เราต้องเติม es เข้าไปตรงหลังคำนามและเปลี่ยนคำนามไปเป็น “buses” เพราะ “bus” เป็นคำนามจำนวนไม่นับจำนวนตัว แต่ถ้าคำนามมีกฏที่กำหนดให้ใช้ s เช่น “pen” เราก็ใช้รูปทั่วไปของคำนามเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องเติม es หรือเปลี่ยนรูปอีก เราอาจว่าเรามีปากกาหลายอัน และใช้คำว่า “pens”
นอกจากนี้ เรายังมีรายการคำนามที่มีกฏการตัดสินใจเติม s, es ตามรูปแบบอื่น ๆ นอกเหนือจากกรณีที่กล่าวมาข้างต้น บางคำนามที่ลงท้ายด้วย /s/ , /ss/ , /sh/ , /ch/ , /x/ และกรณีอื่น ๆ ยังมีกฏเฉพาะในการใช้รูปแบบของคำนามนั้น ๆ ดังนั้น ในการใช้ภาษาอังกฤษเราควรระมัดระวังเมื่อเราต้องการใช้คำนามในกรณีเหล่านี้ เพื่อให้เราใช้รูปร่างของคำนามได้ถูกต้อง เช่น ในกรณีของคำว่า “class” เมื่อเราต้องการลงคำนามว่าเรามีห้องเรียนหลายห้อง เราต้องเติม es ช่วงตรงกลางคำควบลงไปตรงหลังคำนามและเปลี่ยนเป็น “classes”
FAQs
1. ทำไมการเติม s, es ในคำนามถึงสำคัญอย่างยิ่งในภาษาอังกฤษ?
การเติม s, es ในคำนามเป็นเทคนิคที่สำคัญเพื่อให้เราใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง ถ้าเราใช้รูปทั่วไปของคำนามในทุกกรณี อาจทำให้ผิดความหมายของประโยคและสร้างความสับสนให้กับผู้ฟังหรือผู้อ่าน ดังนั้น เราควรรู้จักหลักการเติม s, es ในคำนามเพื่อใช้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง
2. ฉันควรจะใช้ s หรือ es ในคำนามที่มี “s” เสียงเสีย หรือกฏการแบ่งสรรค์เดียวกันใช่ไหม?
ในกรณีที่คำนามลงท้ายด้วยเสียง /s/ , /ss/ , /sh/ , /ch/ , /x/ หรือกรณีอื่น ๆ ควรใช้รูปทับศัพท์ที่เฉพาะเจาะจงเพื่อให้คำนามเป็นรูปทั้งหมด
3. ทำไมบางคำนามแต่ละคนใช้รูปแบบต่างกันไป?
บางคำนามอาจมีกฏการเติม s, es ที่เฉพาะเจาะจงตามคำนามนั้น ๆ ในทางกลับกัน ขึ้นอยู่กับกฏการใช้รูปแบบที่กำหนดโดยเกษตรกรรมศาสตร์ภาษา ดังนั้น เพื่อให้การใช้ภาษาอังกฤษของคุณถูกต้อง ควรศึกษากฏการเติม s, es ในคำนามเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน
4. คำว่า “news” เป็นคำนามจำนวนอะไร?
คำว่า “news” เป็นคำนามที่อยู่ในรูปเฉพาะแต่หมายถึงคำนามที่ไม่สามารถนับสินได้เพียงใด เราไม่สามารถใช้ s หรือ es ในคำนามช่วงตรงหลัง “news” ได้
ในสรุป หลักการเติม s, es ในคำนามเป็นเทคนิคที่สำคัญในการใช้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง การเติม s, es ในคำนามแต่ละคำมีกฏการเติมที่มุ่งหมายให้อัตโนมัติทั้งในกรณีรูปทั่วไปและรูปแบบพิเศษ ผู้ที่สนใจเรื่องนี้ควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฏและตัวอย่างที่แตกต่างกันได้เพื่อให้ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง แท้จริงแล้ว เราสามารถฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษให้ถูกต้องและมีความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษได้อีกด้วยเมื่อรู้จักและเข้าใจหลักการเติม s, es ในคำนามเหล่านี้ได้
การเติม S Es ประธาน
ใน Present Simple Tense ในกรณีที่ประธานเป็นบุคคลที่ 3 แบบเอกรรม เช่น he, she, it จะต้องมีการเติม s หรือ es หลังประธานเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงในกริยา ซึ่งการเติม s หรือ es นี้เป็นวิธีการที่เราจำเป็นต้องทราบในการใช้ Present Simple Tense อย่างถูกต้อง ดังนั้น เรามาดูกันว่าการเติม s หรือ es กับประธานแต่ละตัวในภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร
การเติม s หรือ es ในภาษาอังกฤษมีกฎเฉพาะ ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของประธาน โดยส่วนใหญ่มีกลไกการเติมในลักษณะเดียวกัน นั่นคือ การเติม s หลังประธาน ที่ประกอบด้วยพยางค์ที่ 1 (ของประธาน) เป็นพยัญชนะ และพยางค์ที่ 2-3 (ของประธาน) เป็นสระ ตัวอย่างเช่น
1. เติม s หลังประธานที่ตัวแรกเป็นพยางค์ที่ 1 (ของประธาน) เป็นพยัญชนะ และพยางค์ที่ 2-3 (ของประธาน) เป็นสระ
– Wash → washes
– Fix → fixes
– Teach → teaches
2. เติม s หลังประธานที่ตัวแรกเป็นพยางค์ที่ 1 (ของประธาน) เป็นพยัญชนะ และพยางค์ที่ 2-3 (ของประธาน) เป็นพยัญชนะ
– Wish → wishes
– Watch → watches
– Brush → brushes
3. เติม es หลังประธานที่คล้ายกับคำที่ลงท้ายด้วย s, sh, ch, x หรือ o และครอบถวนด้วยคำที่สุดท้ายด้วย e
– Kiss → kisses
– Wash → washes
– Teach → teaches
4. เติม es หลังประธานที่ลงท้ายด้วย y และตัวก่อนหน้าประธานเป็นพยัญชนะ
– Study → studies
– Carry → carries
– Try → tries
5. เติม es หลังประธานที่ลงท้ายด้วย y และตัวก่อนหน้าประธานเป็นสระ
– Play → plays
– Stay → stays
– Enjoy → enjoys
ภายใต้กฎข้างต้น แต่ละตัวอย่างจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการเติม s หรือ es กับคำนามประธาน เราควรฝึกฝนการใช้กฎเหล่านี้อย่างมาก เพื่อให้สื่อความหมายที่ถูกต้องและเข้าใจได้ง่ายกว่า
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
Q1: ทำไมทุกๆ ตัวอย่างในข้อ 4 และ 5 ถึงใช้ es แทน s หลังจากตัวประธาน y?
A1: การใช้ es แทน s เมื่อประธานลงท้ายด้วย y เกิดจากการป้องกันการสลับเสียงของ y เป็น i เพื่อให้เสียงที่ถูกต้องและออกเสียงได้ง่ายขึ้น
Q2: ทำไมบางคำนามไม่ต้องใช้ s หรือ es หลังจากประธานเป็นคนที่ 3?
A2: การใช้ s หรือ es หลังจากประธานเป็นคนที่ 3 เป็นกฎที่มีข้อยกเว้น มันด้วยเหตุผลทางไวยากรณ์ที่ซับซ้อน ในบางกรณี คำว่าชื่อเธอดูเหมือนรูปเสมือนเป็นคนที่ 3 แต่กลับเป็นคนที่ 1 เท่านั้น เช่น
– My sister likes to read books. (ไม่ใช่ “My sister like to read books.”)
Q3: ฉันจำเป็นต้องใช้การเติม s หรือ es ตลอดเวลาใน Present Simple Tense หรือไม่?
A3: ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เติม s หรือ es ในทุกๆ กรณี นอกจากกรณีที่ประธานเป็นบุคคลที่ 3 (he, she, it) เท่านั้นที่จำเป็นต้องใช้การเติมเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงในกริยา
ในสรุป การเติม s หรือ es กับคำนามประธานในภาษาอังกฤษเป็นข้อกำหนดที่สำคัญในการใช้ Present Simple Tense อย่างถูกต้อง การเรียนรู้กฎและการใช้งานในแต่ละกรณีจะช่วยให้เราสื่อความหมายที่ถูกต้องและเข้าใจได้ง่ายกว่า ฝึกการใช้กฎเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการใช้ภาษาอังกฤษได้นักเชี่ยวชาญ
มี 43 ภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ หลักการเติม s.
ลิงค์บทความ: หลักการเติม s.
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์หัวข้อนี้ หลักการเติม s.
- หลักการเติม s และ es หลังคำกริยา พร้อมตัวอย่าง – Meowdemy
- หลักการเติม s และ es หลังกริยา – Engduo Thailand
- หลักการเติม s หรือ es – NECTEC
- การเติม s es ที่คำกริยา present simple tense มีหลักการที่ต้องจดจำ …
- Present Simple Tense – For you English Insight
- หลักการเติม s และ es หลังคำนาม พร้อมตัวอย่าง | Meowdemy
- หลักการเติม s หรือ es – NECTEC
- Grammar: สรุป! หลักการเติม s/es และ –ing ที่คำกริยา
- Grammar: หลักการใช้ Present Simple Tense : เรื่องจริงในชีวิต …
- คำนามที่เป็นพหูพจน์ – NECTEC
ดูเพิ่มเติม: https://phauthuatdoncam.net/tv-shows-a-z